
รีวิวเกม Pokemon เอเมอรัลด์ 2004 เกมที่โฮเอ็นสมบูรณ์แบบ
- Good Day's
- 79 views
รีวิวเกม Pokemon เอเมอรัลด์ จากปี 2004 เกมที่เปิดตัวหลังจากเกมในบทความ รีวิว Pokemon ไฟร์เรดลีฟกรีน และเป็นเกมส่งท้าย ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ในเกมโปเกมอน Generation III ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม Battle Frontier ที่มอบความท้าทายหลังเกม ในแบบที่ไม่เคยมีในเกมไหนมาก่อน
หลังจากตัวเกมภาคก่อนหน้า อย่างเกมภาค FireRed และ LeafGreen ในแฟรนไชส์ Pokemon พาผู้เล่นย้อนกลับไปยังรากเหง้าของเกมซีรีส์โปเกมอนยุคดั้งเดิม ในปี 1996 แล้ว เกมถัดมาที่วางจำหน่ายในปี 2004 ปีเดียวกัน คือเกมโปเกมอน ภาค Emerald (7 กันยายน 2025) [1]
เป็นเกมที่ทางผู้พัฒนา อย่างบริษัทเกมฟรีค กับนินเท็นโด ต้องการสร้างออกมา เพื่อปิดฉากเกมโปเกมอนเจเนอเรชัน 3 ที่ใช้เล่นบน Game Boy Advance ให้สมบูรณ์แบบ ด้วยการปรับรายละเอียดเรื่องราว กับระบบการเล่นใหม่ ๆ เพื่อเผยให้เห็นถึงแนวคิดการพัฒนาเกม ที่มีความเข้มข้นขึ้น
เกม PokemonEmerald ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัทเกมฟรีค กับบริษัทนินเท็นโด เพื่อทำหน้าที่เป็นภาค Special Edition ของเกมโปเกมอนเจเนอเรชัน 3 โดยมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนา คือการขัดเกลาเนื้อเรื่อง กับเพิ่มคอนเทนต์ใหม่ ให้ดูเข้มข้นยิ่งขึ้น (11 สิงหาคม 2025) [2]
เพื่อแก้ข้อจำกัดที่เคยถูกวิจารณ์เอาไว้ ว่าขาดความท้าทายหลังจบเกมหลัก ด้วยการเพิ่ม Battle Frontier เข้าไป ซึ่งไม่ใช่แค่ระบบการเล่นแบบ Battle Tower เหมือนเดิม แต่เป็นศูนย์รวมโหมดต่อสู้ 7 รูปแบบ เช่นแบทเทิล Dome, แบทเทิล Pike และแบทเทิล Factory เป็นต้น
โดยทั้งหมด เป็นระบบเล่นที่ทดสอบกลยุทธ์ต่างกันออกไป ทำให้เกมภาคนี้ กลายเป็นเกมแรกที่มี Endgame Content ขนาดใหญ่ และกลายเป็นมาตรฐานที่เกมภาคต่อมา นำไปพัฒนา นอกจากนี้ ทีมงานยังปรับสมดุลการเล่น เช่นใส่แอนิเมชันเคลื่อนไหว ของโปเกมอนในระหว่างการต่อสู้
พื้นฐานการเล่นเกม ของเกมภาค Emerald แนวเกมยังคงเป็นเกม RPG ที่ผู้เล่นต้องผจญภัย ในภูมิภาค Hoenn และต้องสะสมแบดจ์ จากหัวหน้ายิมให้ครบทั้ง 8 คน แต่ความท้าทายที่แตกต่างออกไป คือการทำให้โปเกมอนสมดุล กับมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
ผู้เล่นสามารถจับโปเกมอนในเกมได้มากขึ้น ในแต่ละเส้นทางที่ผู้เล่นผจญภัย ทำให้การสร้างทีมของผู้เล่น มีตัวเลือกเยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ เป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้เล่นเข้าถึงโปเกมอนที่หลากหลายขึ้น และอีกจุดที่ทำให้เกมภาคนี้ ต่างออกไป
คือเนื้อเรื่องหลักที่ถูกปรับใหม่ โดย Team Magma และ Team Aqua จะปรากฏตัวพร้อมกัน แทนที่จะเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แบบภาคก่อน และโปเกมอนระดับตำนาน อย่าง Rayquaza จะถูกดึงมาเป็นศูนย์กลางของเรื่องราว เพื่อหยุดยั้งการปะทะของ Groudon และ Kyogre
สิ่งที่ช่วยให้ Emerald ถูกจดจำได้มากกว่าภาคก่อนหน้า อยู่ที่การเพิ่มระบบใหม่ และการเล่าเรื่องที่เข้มข้นขึ้น แต่จุดที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือผู้เล่นกับนักวิจารณ์ยุคนั้น มองว่าเกมมีจุดเด่นเชิงระบบการเล่น กับเนื้อหาที่นำเสนอออกมา
ทั้งหมดทำให้เห็นภาพชัดว่าเกมภาคนี้ ไม่ได้เป็นเพียงเกมภาคเสริม แต่เป็นเกมเวอร์ชันที่ยกระดับตัวเกมของเจเนอเรชัน 3 ให้กลายเป็นเกมที่สมบูรณ์แบบที่สุด
สิ่งที่ทำให้เกมภาค Emerald ปี 2004 แตกต่างจากเกมภาคอื่น อย่างชัดเจน คือการเพิ่ม BattleFrontier เข้าไปในเกม ถือเป็นครั้งแรกในซีรีส์เกมโปเกมอน ที่มีคอนเทนต์หลังจบเกม พื้นที่นี้รวบรวมโหมดต่อสู้พิเศษ 7 รูปแบบ เช่น Battle Dome, Battle Pike และ Battle Factory (2025) [3]
แต่ละแบบจะทดสอบกลยุทธ์การเล่นเกม ของผู้เล่นที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ผู้เล่นต้องวางแผนการจัดทีม ของตัวเอง กับต้องคิดก่อน ว่าจะใช้ท่าต่อสู้ในเกม การมาของโหมดแบทเทิลฟรอนเทียร์ ไม่มีเพียงเพื่อเพิ่มความท้าทายในเกม
แต่ผู้พัฒนาใช้เป็นจุดยืดอายุการเล่น ให้ยาวนานออกไปหลายชั่วโมง และอีกหนึ่งจุดเด่น คือเนื้อเรื่องที่ถูกขัดเกลาใหม่ การปรากฏตัวของ TeamMagma กับ TeamAqua พร้อมกัน ทำให้ความขัดแย้ง ในภูมิภาคโฮเอ็นดูเข้มข้นขึ้น ยิ่งกว่าเดิม
ยอดขายของเกม PokemonEmerald ทำได้กว่า 7 ล้านชุดทั่วโลก แม้จะน้อยกว่าความสำเร็จ ของเกมภาคก่อนหน้า แต่ก็ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับการเป็นเกมภาคพิเศษ โดยเกมภาคเอเมอรัลด์ ยังเป็นอีกหนึ่งในเกม GBA ที่มียอดขายสูงสุด 10 อันดับแรก
โดยเสียงจากนักวิจารณ์ส่วนใหญ่ราว ๆ 70% ให้ความเห็นไปทิศทางเชิงบวก หลายสถานที่ชื่นชมระบบการเล่น BattleFrontier ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้โปเกมอนภาคนี้ มีคอนเทนต์ระยะยาวแบบจริงจัง ครั้งแรก และถูกยกย่องว่า เป็นเกมเวอร์ชันที่ดีที่สุดของ Generation III
เพราะรวมจุดแข็งเพิ่มความเข้มข้น ในเนื้อเรื่องของการเล่นเกม แต่อย่างไรก็ตาม บางสื่อกับผู้เล่นราว ๆ 10% ส่วนใหญ่วิจารณ์ ว่าหากเคยเล่นเกมอื่น ๆ ก่อนหน้า ความแตกต่างเหล่านี้ อาจมีความหนักแน่นไม่มากพอ ที่จะทำให้คิดว่าคุ้ม สำหรับการซื้อเกมภาคเสริมมาเล่น
เกมโปเกมอน ภาค Emerald เกมภาคส่งท้ายของเกมเจเนอเรชันที่ 3 จากแฟรนไชส์โปเกมอน และถือเป็น 1 ในเกมภาค Special Edition ที่ทรงพลังที่สุดของซีรีส์ ด้วยการผสมผสานโครงเรื่องที่เข้มข้น กับระบบ BattleFrontier ที่ยืดอายุการเล่นได้ยาวนานกว่าเดิม หลายสิบชั่วโมง
ข้อดีเกมภาค Emerald อยู่ที่การทำให้เกมเจเนอเรชัน 3 ของเกมโปเกมอนสมบูรณ์ขึ้น ด้วยการเพิ่มระบบการเล่นใหม่ ๆ เข้าไป ที่ผู้เล่นสามารถเลือกระบบการต่อสู้ในเกมเองได้ จำนวน 7 รูปแบบ รวมถึงการปรับเนื้อเรื่องให้เข้มข้นขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้เกมภาคนี้ ถูกยกให้เป็นเกมเวอร์ชันที่ดีที่สุด ของเกม Gen III
ข้อเสียของเกมโปเกมอนภาคนี้ คือการที่ผู้เล่นยังคงมองว่าการนำเสนอระบบการเล่น ยังไม่แปลกใหม่เท่าที่ควร เพราะโครงสร้างหลักยังคงเนื้อหา ของเกมแรก จากเกมเจน 3 เอาไว้เกือบทั้งหมด ผู้ที่เคยเล่นภาคเดิมมาแล้ว อาจไม่รู้สึกถึงความแตกต่างมากพอ ที่จะคุ้มค่ากับการซื้อเกมภาคเสริมมาเล่นซ้ำ