
รีวิวเกม MariovsDonkey 4 มหาวินาศแผ่นดินเล็ก ปี 2010
- Good Day's
- 94 views
รีวิวเกม MariovsDonkey 4 ที่ออกวางจำหน่าย ในปี 2010 เป็นเกมภาคที่ 4 ของซีรีส์นี้ จากแฟรนไชส์เกมมาริโอ ที่สานต่อแนวคิดจากเกม ในบทความ รีวิวเกม MariovsDonkey 3 ภาคก่อนหน้า และยกระดับขอบเขตการเล่น ให้มีความหลากหลายมากกว่าเดิม ทั้งด้านจำนวนเลเวล, ธีม และระบบสร้างด่าน
การเดินทางของซีรีส์เกม Mario vs Donkey Kong ที่เปิดตัวให้เล่น เมื่อปี 2009 อย่างเกมภาค 3 นับว่าเป็นเกม จากแฟรนไชส์มาริโอ ที่ทำหน้าที่เป็นเกมทดลองระบบการเล่นต่าง ๆ ในเกม จนทำให้เกมภาคที่กำลังแนะนำ นำเอารูปแบบการเล่นเกม แบบภาคก่อนหน้า นำมาปรับปรุงใหม่ (25 สิงหาคม 2025) [1]
แต่ยังมีจุดที่ทำให้เกมมาริโอปะทะดองกี้คอง ภาคที่ 4 มีความแตกต่าง ซึ่งจุดนี้ เป็นกุญแจสำคัญที่จะอธิบายได้ว่าทำไมเกมภาคนี้ ถึงถูกมองว่าเป็นการขยายขอบเขตของเกมในซีรีส์ มากกว่าการเป็นแค่ภาคต่อ ที่มีรูปแบบการเล่นซ้ำ ๆ เดิม ๆ
เกมมาริโอปะทะดองกี้คอง 4 ที่จัดจำหน่ายวันที่ 14 พฤศจิกายน ปี 2010 ถูกสร้างขึ้นมาโดยอาศัยโครงร่าง จากเกมภาค 3 อย่างชัดเจน ทั้งการใช้เหล่ามินิมาริโอในการดำเนินเรื่องราว โดยกลุ่มหุ่นยนต์มาริโอ จะมีการเคลื่อนที่แบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการเล่นต่อยอดตรง ๆ จากการทดลอง (19 มิถุนายน 2025) [2]
ที่เริ่มไว้บนเครื่องเล่น DSiWare ในเกมภาคก่อน และการมีโหมด Construction Zone ที่สามารถสร้างด่าน กับแชร์ด่านตัวเองได้ ยังคงเป็นหัวใจหลักที่สืบต่อมา รวมถึงยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าแนวคิดนี้ ได้รับการยอมรับมากพอ ที่จะผลักเข้าสู่เกมภาคเต็ม โดยทางผู้ผลิตไม่ได้พยายาม Reset แนวคิดใหม่ ทั้งหมด
แต่เลือกจะต่อยอดจากสิ่งที่พิสูจน์แล้ว เพื่อสร้างความต่อเนื่องให้กับผู้เล่น ซึ่งความต่อเนื่องนี้ ยังปรากฏในรูปแบบการเล่าเรื่องที่วนกลับไปยังดองกี้คอง และพอลลีน คล้ายกับเกมภาคก่อน การมีโครงเรื่องซ้ำไม่ได้ทำให้เกมดูไม่น่าเล่น แต่จะช่วยเสริมความรู้สึกว่า เกมเป็นตอนต่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในเกมก่อนหน้า
สิ่งที่ทำให้เกมภาค 4 แตกต่าง คือการขยาย ConstructionZone ให้กลายเป็นจุดขายเต็มตัว หากในเกมภาคสาม โหมดนี้ยังเป็นเหมือนการทดลองเล็ก ๆ ที่อยู่ในขอบเขต DSiWare แต่ในเกมภาคนี้ ทางผู้พัฒนาได้สร้างโหมดเกม ให้เป็นโหมดที่มีความละเอียด และสามารถใช้งานจริง (25 สิงหาคม 2025) [3]
ผู้เล่นสามารถสร้าง แชร์ และดาวน์โหลดด่านของผู้อื่น ผ่าน Nintendo Wi Fi Connection ได้เยอะกว่าเกมภาคก่อนหน้าหลายเท่าตัว การเปลี่ยนนี้ พลิกการเล่นเกมที่เล่นเพื่อสร้างด่านธรรมดา ๆ ให้กลายเป็นเกมที่ขับเคลื่อนด้วยชุมชนผู้เล่น อย่างแท้จริง และอีกจุดสำคัญ คือขนาดกับความสมบูรณ์ของคอนเทนต์
เนื่องจากวางจำหน่ายในรูปแบบเกมตลับ ที่ใช้เล่นบนเครื่องเล่น Nintendo DS ทำให้มีพื้นที่มากขึ้นกว่าภาคที่ 3 หลายเท่า ทั้งจำนวนเลเวลหลัก, การจัดโลกย่อย หรือการปรับแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม
สิ่งที่ควรทำความเข้าใจขั้นต่อมา คือการทำความเข้าใจว่าเกมมาริโอ ภาคที่สี่นี้ ถูกออกแบบให้เป็นเกมที่สานต่อแนวคิด จากภาคก่อนหน้าโดยตรง แต่ได้มีการยกระดับรายละเอียดให้เข้มข้นขึ้น และเพิ่มกลไกการควบคุมด้วยวิธีการเล่นใหม่ ๆ ที่กลายเป็นหัวใจหลัก ของการกำหนดจังหวะในเกม
การเล่นเกมมาริโอปะทะดองกี้คอง ภาคสี่ ยังให้ผู้เล่นควบคุมกลุ่มมินิมาริโอ ให้เดินไปข้างหน้าเหมือนเดิม แต่ผู้เล่นจะไม่สามารถสั่งหยุด หรือเปลี่ยนทิศทางโดยตรงได้ แต่ต้องอาศัยการใช้ Stylus เพื่อสร้างเส้นทาง หรือวางสะพานในเวลาที่พอดี การออกแบบเช่นนี้ ทำให้เกมไม่ได้เป็นเกมที่ต้องบังคับตัวละคร
แบบแพลตฟอร์มทั่วไป แต่เป็นการจัดการสภาพแวดล้อม ให้กลุ่มมินิมาริโอ เดินไปถึงทางออกอย่างปลอดภัย ทำให้ความรู้สึกกดดัน ของการแก้ปริศนา เกิดขึ้น แบบเรียลไทม์ เมื่อมินิมาริโอเริ่มเคลื่อนที่ และทำให้ผู้เล่นแทบไม่มีเวลาหยุดคิดนาน เพราะต้องแก้ปัญหา ตลอดเวลา
โดยความแตกต่างที่โดดเด่นของภาคนี้ คือการปรับความแม่นยำของการควบคุม ให้เหมาะกับเครื่องเล่นเกม Nintendo DS มากขึ้น การใช้สไตลัส จะมีการตอบสนองที่ไวขึ้น ทำให้ผู้เล่นสามารถจัดการกลุ่มมินิมาริโอได้ หลายตัวพร้อมกัน ในหน้าจอเดียว
ในด้านความยาก ของเกมมาริโอปะทะดองกี้คอง ปี 2010 จนถึงปี 2011 เป็นเกมเริ่มต้นด้วยการให้ผู้เล่น จัดการกลุ่มมินิมาริโอ เพียงไม่กี่ตัว เพื่อให้เข้าใจกลไกการควบคุม และการสร้างเส้นทางอย่างเป็นขั้นตอน เมื่อเข้าสู่ด่านที่ลึกขึ้น ความยากจะค่อย ๆ ขยายตัว เช่นการต้องจัดการเส้นทางที่ซับซ้อนมากขึ้น
ไปจนถึงการควบคุมตัวละครมินิมาริโอหลายตัวพร้อมกัน การเพิ่มสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เข้าไป ทำให้ผู้เล่นต้องจัดลำดับเวลา และการกระทำอย่างแม่นยำ ระบบนี้ ทำให้การเล่นไม่ใช่แค่การแก้โจทย์ แต่เป็นการคุมจังหวะในสภาพแวดล้อม ที่สามารถพลิกแพลงได้ตลอดเวลา
นักวิจารณ์หลายสำนักชี้ว่า ผู้เล่นอาจใช้เวลา 70 ถึง 80% ของการเล่น หมดไปกับการลองผิดลองถูก ในด่านที่ดูมีความซับซ้อน หากเกิดความผิดพลาดเพียง 1% ของจังหวะในเกม เช่นการลากสะพานช้ากว่าที่ควร เป็นต้น
รีวิวซีรีส์เกม Mario ปะทะ Donkey 4 แม้ว่าตัวเกมจะยังคงโครงสร้างเดิม จากเกมภาคก่อนหน้า แต่การขยายระบบการสร้างด่าน และความท้าทายที่ซับซ้อนขึ้น ทำให้เกมมาริโอปะทะดองกี้คอง ภาคนี้ กลายเป็นจุดยืนยันว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มตัวละครมินิมาริโอ ไม่ได้เป็นเพียงเกมทดลองอีกต่อไป
ข้อดีของเกมภาคสี่ คือการสานต่อระบบ จากภาค 3 แล้วขยายให้สมบูรณ์แบบขึ้น ทั้งในแง่จำนวนเลเวล, ความหลากหลายของธีม และโหมด ConstructionZone ที่กลายเป็นหัวใจหลัก ของเกมภาคนี้ โดยผู้เล่นสามารถสร้าง แชร์ และดาวน์โหลดด่านได้ อย่างกว้างขวางผ่าน Nintendo Wi Fi Connection
ข้อเสียของเกมภาคนี้ คือแม้จะเพิ่มคอนเทนต์ และมีระบบที่ใหญ่ขึ้น แต่โครงสร้างเกมยังคงเดิม จนผู้เล่นบางส่วนรู้สึกว่าไม่ต่างมาก จากภาค 3 การเล่าเรื่องยังคงวนกลับไปสู่ดองกี้คองกับพอลลีน ซึ่งอาจทำให้ขาดแรงดึงดูดใหม่ ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับความสดใหม่ ของรูปแบบการเล่นเกม ที่แฟนเกมคาดหวัง