
ประวัติ บลูพิคาร์ดี้ หมาสายล่า ที่นุ่มนวลเกินคาด
- Pet Noi
- 65 views
ประวัติ บลูพิคาร์ดี้ อาจไม่ค่อยถูกพูดถึงในหมู่คนรักหมา แต่สายพันธุ์นี้กลับมีรากลึก ในฝรั่งเศสมายาวนานกว่าร้อยปี น้องคือหมาล่าที่มาพร้อมลุคนุ่มละมุน แววตานิ่ง แต่เต็มไปด้วยสมาธิ และแรงขับเคลื่อนแบบนักล่า ด้วยตัวตน ความขัดแย้งที่น่าเอ็นดู และจุดตัดที่คนเลี้ยงยุคใหม่ควรรู้
ถ้าอิงตาม ประวัติ บลูพิคาร์ดี้ สุนัขนี้ถือกำเนิดในแคว้นพิคาร์ดี ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีรากฐานจาก Picardy Spaniel ผสมกับสายเลือด English Setter ที่ถูกพาเข้ามาในฝรั่งเศส ช่วงหลังสงคราม เดิมทีถูกใช้เป็นหมาล่านก ในพื้นที่ชื้นแฉะและป่าโปร่ง
จึงพัฒนาทั้งความอึด รวมถึง “สัญชาตญาณเงียบ” ในการตามเป้าหมาย สีขนฟ้าหม่นแบบ Blue Roan กลายเป็นเอกลักษณ์โดยธรรมชาติ ไม่ได้ตั้งใจผสมเพื่อความสวย เมื่อยุคเปลี่ยนไป บลูพิคาร์ดี้เริ่มปรับบทบาทจากหมาล่า มาเป็นหมาคู่ใจในบ้าน ที่เหมาะเลี้ยงกับเด็ก ๆ (25 กุมภาพันธ์ 2024) [1]
Blue Picardy Spaniel ถือกำเนิดในแถบป่าชื้น และทุ่งหญ้าของแคว้นพิคาร์ดี ประเทศฝรั่งเศส ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 น้องถูกพัฒนาสายพันธุ์ จากการผสมระหว่าง Picardy Spaniel กับ English Setter เพื่อให้เหมาะกับการล่าสัตว์ปีก ในสภาพอากาศเย็นชื้น
ด้วยพื้นที่ต้นกำเนิดเฉพาะ มีฝนตกเฉลี่ยกว่า 120 วันต่อปี ทำให้หมาที่อยู่รอดได้ต้องอึด เงียบ และว่องไว ความสามารถในการเคลื่อนไหวเงียบ ๆ ผ่านพงหญ้า กลายเป็น “ทักษะแนบเนียน” ที่ติดตัวมาถึงปัจจุบัน แม้ยุคนี้จะไม่ต้องล่าแล้ว แต่สัญชาตญาณเหล่านี้ ยังคงอยู่ใน DNA อย่างเต็มเปี่ยม
แม้บลูพิคาร์ดี้จะถูกพัฒนามา เพื่อ “ล่าสัตว์ปีกในพื้นที่เปียก” แต่ปัจจุบัน 70% ของคนเลี้ยงในยุโรป หันมาเลี้ยงเป็นหมาบ้านแทน เพราะน้องมีนิสัยขี้อ้อน ฉลาด และเชื่อมโยงกับอารมณ์คนได้ดี จนกลายเป็น “หมาคลื่นอารมณ์ต่ำ” ที่อยู่ร่วมกับครอบครัวได้อย่างกลมกลืน
อีกทั้งพวกมันยังเป็นหมาที่เชื่อฟัง มีทักษะในการล่าสัตว์ บวกการวิ่งเก็บของกลับมา นอกจากนี้ การฝึกน้องให้เข้ากับกิจวัตร บ้านสมัยใหม่ไม่ยากเลย ถ้าเจ้าของเข้าใจว่า ภายใต้ท่าทางนิ่ง ๆ คือหมาที่ “รอภารกิจ” เสมอ บลูพิคาร์ดี้จึงเหมาะกับบ้าน ที่มีพื้นที่ให้เดินเล่น
และมีเวลาสื่อสารกับน้องเป็นประจำ จากหมาล่าสัตว์ในป่าฝรั่งเศส สู่หมาเพื่อนคู่ใจในบ้านของคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ชอบหมาดีด แต่ก็ไม่อยากเลี้ยงหมาเฉื่อย ถือว่าสุนัขสายพันธุ์นี้เจริญเติบโตได้ดี เมื่อได้อยู่ร่วมกับเจ้าของ รวมถึงสมาชิกในครอบครัว (2025) [2]
บลูพิคาร์ดี้เป็นหมาสายล่า ที่ไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนพันธุ์อื่น ๆ แต่กลับมีลุคอบอุ่น ด้วยขนลาย “ฟ้าหม่น” และท่าทางนิ่งสงบ แววตาของน้องมักถูกบรรยายว่า “เหมือนเข้าใจในสิ่งที่เรายังไม่พูด” ซึ่งสะท้อนความฉลาด และอารมณ์นิ่งลึก แม้เป็นหมาทำงาน แต่น้ำเสียง ท่าทาง บวกการเคลื่อนไหว
กลับเรียบเนียนจนหลายคนคิดว่า เป็นหมาบ้านตั้งแต่แรก ข้อมูลจาก FCI ในปี 2024 ระบุว่า 80% ของบลูพิคาร์ดี้ ที่ลงทะเบียน มีบุคลิก “สงบ” และ “วางตัวดี” เป็นจุดเด่น ความขัดแย้งระหว่างสายพันธุ์นักล่า กับภาพลักษณ์ละมุน จึงกลายเป็นเสน่ห์เฉพาะของหมาพันธุ์นี้
ขนของบลูพิคาร์ดี้เป็นลาย Blue Roan สีฟ้าหม่นที่ดูเหมือนหมอกจาง ๆ คลุมทั่วตัว ลายขนนี้ไม่ได้เรียบ แต่แทรกสีเทาเข้ม สลับกับขาวกระจายทั่วลำตัว แบบ “กระจายไม่ซ้ำ” ขนบริเวณใบหู หาง และช่วงขาหลังจะยาวนุ่ม ให้สัมผัสเหมือนกำมะหยี่บาง ๆ
สิ่งที่ทำให้คนหลงรักที่สุด คือ “สายตาแบบฟังอยู่เสมอ” ดวงตากลมลึก สีเทาน้ำตาล ที่จ้องมาเหมือนถามว่า “เหนื่อยไหม” บลูพิคาร์ดี้ไม่ใช่หมาตาเศร้า แต่เป็นหมาที่ “มีน้ำเสียงในแววตา” จนหลาย ๆ คนรู้สึกว่า สื่อสารกันได้โดยไม่ต้องพูด ลักษณะภายนอกที่นุ่มนวลนี้
ทำให้หมาสายล่าพันธุ์นี้ดูเข้าถึงง่าย กว่าเพื่อนร่วมสายอย่าง บูฮุนด์ สุนัขเลี้ยงแกะ รวมไปถึงสุนัขนักล่าอื่น ๆ แต่ก็ยังเป็นหมาที่จะต้องทำความเข้าใจ เกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ อาทิเช่น การชอบฝึกฝน การต้องการพื้นที่กลางแจ้ง และการเป็นสุนัขในครอบครัวที่ดี (2025) [3]
แม้ Blue Picardy จะดูนิ่งและไม่วุ่นวาย แต่แท้จริงแล้วน้องคือหมาสายล่า ที่ต้องการกิจกรรมสม่ำเสมอ ข้อมูลจากกลุ่มคนเลี้ยงในฝรั่งเศส ปี 2023 พบว่า กว่า 60% ของบลูพิคาร์ดี้ ที่ไม่ได้ออกกำลังกายเกิน 45 นาทีต่อวัน มีพฤติกรรมแอบเครียด อาทิเช่น เดินวน กัดของ หรือเห่าเงียบ
ลักษณะนิ่ง ๆ ของน้อง จึงเป็นเพียง “ภาวะพักรอ” ไม่ใช่ความเฉื่อย ยิ่งในช่วงปี ค.ศ. 1907– 1912 ที่มีการปรับสายพันธุ์ให้ล่าสัตว์ ได้แม่นขึ้น บลูพิคาร์ดี้ยิ่งสะสม “แรงรอคำสั่ง” อยู่ลึก หากเข้าใจผิดว่า “นิ่ง = ชิล” อาจทำให้น้องเก็บความตึงเครียดไว้เงียบ ๆ จนกลายเป็นปัญหาในระยะยาว
ประวัติของบลูพิคาร์ดี้ ไม่ได้มีแค่เส้นทางของหมาล่า แต่มันสะท้อนว่า “ลุคอบอุ่น” ก็อาจซ่อนพลังไว้ข้างใน การตัดสินใจเลี้ยงหมาสักตัว ในยุคนี้ จึงไม่ควรดูแค่ความน่ารัก หรือความนิ่ง แต่ต้องถามตัวเองว่า เราเข้าใจธรรมชาติของหมาจริงไหม ก่อนจะพาเข้ามาในบ้าน เข้ามาในหัวใจ
หมาบางตัวดูละมุน แต่ข้างในอาจเต็มไปด้วยแรงขับ และความต้องการที่ซับซ้อน บลูพิคาร์ดี้คือหนึ่งในนั้น หมาที่นิ่ง แต่ไม่ใช่หมาเฉื่อย ก่อนจะหลงรักแค่ลุคภายนอก ลองถามใจดูว่า เราเข้าใจ “ธรรมชาติของพวกมัน” มากพอแล้วหรือยัง
การเลือกหมา ไม่ควรมีแค่ความรู้สึกว่า “ชอบ” แต่ต้องมีความเข้าใจ ในสิ่งที่พวกมันเป็น หมาที่ใช่สำหรับเรา อาจไม่ใช่หมาที่สวย หรือดูสงบที่สุด แต่คือหมาที่เราอยู่ด้วย แล้ว “เห็นพวกมัน” ในแบบที่เป็นจริง ๆ ไม่ใช่ในแบบที่เราอยากให้เป็น