
บัญชีม้าคือ ทำไมถึงเรียกว่า บัญชีม้า ต่างจากบัญชีทั่วไปยังไง
- Good Day's
- 65 views
ทำไมถึงเรียกว่า บัญชีม้า ในยุคที่ธุรกรรมการเงินออนไลน์ กลายเป็นเรื่องปกติ คำว่าบัญชีม้า เริ่มถูกพูดถึงบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในข่าวอาชญากรรม และการเตือนภัยสังคม หลายคนอาจสงสัย ว่าทำไมถึงใช้คำนี้ เหมือนกับบทความ บัญชีม้า แบ่งเป็นกี่ประเภท และบัญชีเหล่านี้ แตกต่างจากบัญชีทั่วไป อย่างไร
ก่อนจะลงลึกไปถึงผลกระทบ หรือพฤติกรรมของผู้ที่เกี่ยวข้อง สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจก่อน ว่าบัญชีม้าแท้จริงแล้ว หมายถึงอะไร และเหตุใดสังคมไทย จึงเลือกใช้คำนี้ มาอธิบายพฤติกรรมผิดกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน การตีความคำนี้ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การตั้งชื่อ
แต่สะท้อนถึงวัฒนธรรมของภาษา และประสบการณ์ทางสังคม ที่ทำให้คำว่าม้า ถูกเชื่อมโยงกับการเป็นเพียงเครื่องมือ ในมือผู้อื่น เมื่อเข้าใจความหมายทั้งหมด จะเห็นภาพชัดว่าทำไมบัญชีม้า ถึงถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง และกลายเป็น 1 ในคำสำคัญของการอธิบายอาชญากรรมทางการเงิน ยุคดิจิทัล
บัญชีม้า เป็นคำที่ใช้เรียกบัญชีธนาคาร ที่ถูกเปิดโดยบุคคลหนึ่ง แต่การใช้งานจริง กลับตกอยู่ในมือของคนอื่น ซึ่งต่างจากบัญชีปกติ ที่เจ้าของเป็นผู้ควบคุมเอง แนวคิดนี้ ถูกนำมาเชื่อมโยงกับการทำธุรกรรมผิดกฎหมาย เช่นการฟอกเงิน การหลอกลวงออนไลน์ หรือการโอนเงิน ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย เคยระบุว่า ตั้งแต่ปี 2560 ถึงปี 2565 มีคดีที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าเพิ่มขึ้น เฉลี่ยปีละ 15 ถึง 20% แสดงให้เห็นว่าปัญหานี้ ไม่ใช่เรื่องเล็ก หรือเกิดเพียงครั้งคราว แต่เป็นการแพร่กระจาย อย่างต่อเนื่อง ตามพฤติกรรมการฉ้อโกงที่ขยายตัว ในโลกดิจิทัล (17 กันยายน 2025) [1]
สิ่งที่ทำให้คำนี้แตกต่างจากคำทั่วไป คือมิติของความไม่โปร่งใส เพราะแม้เจ้าของชื่อบัญชี จะเป็นบุคคลจริง แต่การควบคุมกลับไม่อยู่ในมือของเรา การสละสิทธิ์เช่นนี้ ทำให้ผู้เปิดกลายเป็นส่วนหนึ่ง ของการกระทำผิด โดยอัตโนมัติ แม้จะอ้างว่าไม่รู้เรื่องก็ตาม
คำว่าม้า ในภาษาไทยมักถูกใช้เปรียบเปรยถึงการทำหน้าที่แทน เช่นม้ารับส่ง หรือม้าล่อ ซึ่งไม่ใช่ผู้ตัดสินใจหลัก แต่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ เมื่อสังคมออนไลน์ในไทย เริ่มพบพฤติกรรมการเปิดบัญชี เพื่อส่งต่อเงินให้กลุ่มมิจฉาชีพ ในช่วงปี 2555 ถึงปี 2557 สื่อมวลชน และเจ้าหน้าที่จึงหยิบคำนี้ มาใช้เรียก
จนกลายเป็นคำติดปากว่าบัญชีม้า โดยเจตนา คือการเน้นว่าผู้ถือบัญชี ถูกใช้งานเหมือนสัตว์พาหนะ ที่ขับเคลื่อนให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ แต่ตัวเองกลับต้องรับโทษ หากถูกตรวจสอบ การแพร่หลายของคำนี้ ชัดเจนยิ่งขึ้นในช่วงปี 2563 ถึง 2565 ที่คดีหลอกลวงออนไลน์เพิ่มขึ้น อย่างก้าวกระโดด
จากสถิติของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนอาชญากรรม ทางเทคโนโลยี พบว่าการร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าในปี 2565 เพียงปีเดียว มีจำนวนมากกว่าปี 2561 ถึงเกือบ 3 เท่า สะท้อนว่าคำเรียกนี้ ไม่ได้เป็นเพียงศัพท์เฉพาะ แต่ได้กลายเป็นคำในชีวิตประจำวัน ของสังคมไทยไปแล้ว
เมื่อเข้าใจความหมาย และที่มาของคำว่าบัญชีม้าแล้ว สิ่งที่ควรพิจารณาต่อ คือการเปรียบเทียบกับบัญชีธรรมดา ว่าแตกต่างกันตรงไหน และทำไมการใช้งาน จึงไม่เหมือนกัน รวมถึงการมองให้ลึกถึงผลลัพธ์ ในชีวิตจริง หากใครถูกชักชวนให้เปิดบัญชีม้า (14 สิงหาคม 2025) [2]
ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังนั้น ไม่ใช่แค่ตัวเลขในบัญชี แต่หมายถึงความรับผิดชอบทางกฎหมาย ที่อาจติดตัวไปตลอด การทำความเข้าใจ 2 ประเด็นนี้ จึงเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ หรือผู้ร่วมกระทำผิด โดยไม่ตั้งใจ
บัญชีธรรมดา คือบัญชีที่เจ้าของเปิด และใช้ด้วยตัวเอง ในการทำธุรกรรมทุกอย่าง เช่นฝาก ถอน โอน จึงสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ แบบตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นรากฐานของความโปร่งใส ในระบบการเงินไทย ที่เริ่มให้บริการประชาชนทั่วไป
ปัจจุบันข้อมูลจากสมาคมธนาคารไทย ระบุว่า กว่า 99% ของบัญชีที่ใช้งานอยู่ในระบบ เป็นบัญชีประเภทนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความปกติของพฤติกรรมการเงิน ส่วนใหญ่ อีกประเด็นที่ทำให้บัญชีธรรมดา มีความน่าเชื่อถือ คือการผูกกับระบบยืนยันตัวตน
ไม่ว่าจะเป็นบัตรประชาชน การลงทะเบียนพร้อมเพย์ หรือการตรวจสอบธุรกรรม ตามกฎหมายการป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน (AML) กฎระเบียบเหล่านี้ ช่วยให้ธนาคารสามารถสกัดพฤติกรรมผิดปกติได้ ตั้งแต่ต้นทาง และเมื่อเกิดปัญหา ก็สามารถตรวจสอบเส้นทางเงินได้ทันที (8 มีนาคม 2024) [3]
ในทางกลับกัน บัญชีม้า ถือเป็นความบิดเบือนของระบบ แม้ชื่อบัญชี จะเป็นบุคคลจริง แต่การใช้งานกลับอยู่ในมือของผู้อื่น ลักษณะเช่นนี้ มักถูกใช้เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบ เช่นการรับโอนเงิน จากการหลอกลงทุน หรือการรับเงินโอน จากการแชร์ลูกโซ่ โดยปัญหาเหล่านี้ เริ่มถูกพูดถึงอย่างจริงจังในไทย
เมื่อมีคดีหลอกลวงออนไลน์ ที่ใช้บัญชีบุคคลอื่น เป็นช่องทางหมุนเวียนเงิน ซึ่งข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่ามีการร้องเรียนเกี่ยวกับบัญชีม้า มากกว่า 20,000 กรณี และสิ่งที่อันตราย คือแม้ผู้เปิดบัญชี จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง กับการโกง แต่การปล่อยให้ชื่อของตัวเองถูกใช้
ก็เท่ากับยอมรับความเสี่ยงทางกฎหมาย โดยไม่รู้ตัว การวิเคราะห์จากปปง. ยังพบว่ากว่า 1% ของบัญชีที่ถูกสุ่มตรวจสอบ ในระบบธนาคารไทย มีพฤติกรรมเข้าข่ายบัญชีม้า ซึ่งสะท้อนว่าปัญหานี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มเล็ก ๆ แต่กำลังขยายตัวตามการเติบโต ของอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
เมื่อได้ทำความเข้าใจความหมาย กับที่มาของคำเรียก ไปจนถึงการเปรียบเทียบกับบัญชีธรรมดา จะเห็นได้ชัดว่าบัญชีม้า เป็นช่องทางสำคัญของอาชญากรรมทางการเงิน ในยุคดิจิทัล ความเสี่ยงไม่ได้อยู่แค่ที่ตัวเลข ในบัญชี แต่อยู่ที่โทษทางกฎหมาย และผลกระทบต่ออนาคตของผู้เปิดเอง ทั้งหมด
สิ่งที่ควรระวัง คือการเปิดบัญชีม้า ไม่ใช่แค่การให้ยืมชื่อ แต่หมายถึงการยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตัวตน ในการทำธุรกรรม ที่อาจผิดกฎหมายทั้งหมด ซึ่งกฎหมายไทย ถือว่าผู้เปิดคือผู้สมรู้ร่วมคิดโดยตรง แม้จะอ้างว่าไม่รู้ก็ตาม ทำให้ผู้ที่เปิดบัญชีเหล่านี้ ต้องเผชิญโทษจำคุก และถูกปรับในอัตราเดียว กับผู้กระทำผิด
ผู้ที่ตกลงเปิดบัญชีม้า มักมีลักษณะร่วม คือถูกล่อลวงด้วยผลตอบแทนที่สูง เช่นค่าจ้างหลักร้อย ถึงหลักพัน โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา วัยรุ่น หรือผู้ที่ต้องการเงินด่วน บางส่วนเปิดด้วยความสมัครใจ เพราะคิดว่าเป็นงานพิเศษเล็ก ๆ แต่บางส่วนถูกหลอกด้วยข้ออ้าง ว่าเป็นขั้นตอนสมัครงาน หรือใช้หมุนเงินธุรกิจ