แหล่งรวมเกมส์ชั้นนำ สล็อต คาสิโน บาคาร่า พร้อมระบบล้ำทันสมัย รวดเร็วทันใจ

การเต้นรำ บัลเลต์ สื่อเรื่องราวผ่านท่วงท่าที่สวยงาม

การเต้นรำ บัลเลต์

การเต้นรำ บัลเลต์ เป็นการระบำด้วยท่วงท่าที่สวยงาม ตามจังหวะของดนตรี เพื่อสื่อความหมายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของการแสดงชุดนั้นๆ ด้วยองค์ประกอบ ชุดเสื้อผ้า เครื่องประดับ และเทคนิคการเต้นรำที่งดงาม ถือเป็นกีฬาที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆที่น่าสนใจ

  • ประวัติบัลเลต์ที่น่าสนใจ
  • บัลเลต์แบ่งออกเป็นกี่ประเภท
  • เทคนิคและการแต่งการบัลเลต์

บัลเลต์คืออะไร

บัลเลต์ คือ การแสดงเต้นรำอีกรูปแบบหนึ่ง โดยผู้แสดงจะต้องระบำด้วยท่าทาง รูปแบบเฉพาะของท่วงทำนองเพลง เพื่อแสดงออกถึงการสื่อสารของการแสดงในชุดนั้นๆ

Ballet เป็นคำที่มาจากภาษาอิตาลี คำว่า Balli มีความหมายว่า การเต้นรำหรือนาฏศิลป์ ซึ่งได้มีจุดเริ่มต้นมาจาก การแสดงของราชสำนักในอิตาลี ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนารูปแบบการแสดงขึ้นมาเรื่อยๆ จนในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในประเทศฝรั่งเศส ได้พัฒนามาจนกลายเป็นบัลเลต์ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน

บัลเลต์มีจุดเด่นอยู่ที่การเต้นที่มีรูปแบบเฉพาะ ทั้งด้านการเคลื่อนไหวและการจัดวางสมดุลของร่างกาย รวมถึง เครื่องแต่งกายที่น่าจดจำ ซึ่งที่กล่าวมานี้ถือเป็นจุดเด่น ที่ทำให้ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติคำทับศัพท์ของบัลเลต์ว่า “ระบำปลายเท้า”

ที่มา: บัลเลต์ (Ballet) คืออะไร? มีกี่ประเภท ประวัติความเป็นมา [1]

ประวัติบัลเลต์ในประเทศไทย

บัลเลต์ในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่ได้เริ่มมีการเรียนการสอนเกี่ยวกับการเต้นบัลเลต์ ในโรงเรียนนาฏดุริยางค์ศาสตร์ และต่อมาก็ได้มีการนำไปสอนในโรงเรียนอื่นเพิ่มมากขึ้น จนทำให้บัลเลต์เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางขึ้น ในสมัยของรัชกาลที่ 9 เนื่องจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ได้พระกรุณโปรดเกล้าฯ ประพันธ์เพลงหลายบทเพลง ที่นำมาใช้ในการแสดงบัลเลต์

ต่อมาผู้คนในประเทศก็ได้มีการรู้จักการแสดงบัลเลต์มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในปัจจุบัน ประเทศไทยเรายังไม่มีคณะบัลเลต์อาชีพ เนื่องจากยังไม่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้คนมากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นกีฬาที่มีแนวโน้ม ได้รับความสนใจมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ประเภทของบัลเลต์

การแสดงบัลเลต์ เป็นกิจกรรมที่ได้รับการพัฒนามาทุกยุคสมัย จนทำให้เกิดเป็นประเภทของการแสดงที่หลากหลาย โดยบัลเลต์แต่ละประเภทจะมีลักษณะ เทคนิค และองค์ประกอบเฉพาะ ในการเล่าเรื่องราวต่างๆผ่านการแสดง ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของบัลเลต์ได้ดังนี้

  • บัลเลต์โรแมนติก
    บัลเลต์ประเภทนี้เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งการแสดงประเภทนี้จะเน้นไปที่ อารมณ์และความรู้สึก และองค์ประกอบที่เหนือจริง ดังนั้นนักเต้นผู้หญิง จึงมักสวมทูทูยาวพลิ้วไสว ในการแสดง โดยการแสดงจิเซลล์ ถือเป็นการแสดงที่สมบูรณ์แบบที่สุดของบัลเลต์โรแมนติก
  • บัลเลต์คลาสสิก
    บัลเลต์รู้แบบดั้งเดิม ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุด มีการยึดเทคนิคตามแบบในยุคโรแมนติก มีการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล สง่างาม รวมถึงการเคลื่อนเท้าที่แม่นยำ ซึ่งบัลเลต์คลาสสิกที่มีความโดดเด่น และเป็นที่น่าจดจำได้แก่ “สวอนเลค” “เดอะนัทแคร็กเกอร์” และ “เจ้าหญิงนิทรา”
  • บัลเลต์ร่วมสมัย
    เป็นการนำบัลเลต์แบบคลาสสิก มาผสมผสานเข้ากับ การเต้นรำสมัยใหม่ จึงทำให้บัลเลต์ประเภทนี้ เป็นรูปแบบที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยการนำเอารูปแบบการเคลื่อนไหวที่หลากหลายมาใช้ จึงทำให้บัลเลต์ชนิดนี้ เป็นเหมือนการเปิดโอกาสในการแสดงออก ที่ทำให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น
  • บัลเลต์นีโอคลาสสิก
    บัลเลต์ประเภทนี้ มีจุดเริ่มต้นในช่วงทศวรรษปี 1920 โดยจะเน้นไปที่การเล่าเรื่อง โดยมีการออกแบบท่าเต้น ไปทางแนวนามธรรมและเรขาคณิตมากขึ้น เพื่อเน้นความแข็งแรงและความเร็ว แต่โดยพื้นฐานก็ยังคงนิยมใช้เทคนิคแบบคลาสสิก แต่เพิ่มเติมด้วยความคิดสร้างสรรค์ และการเคลื่อนไหวใหม่ๆเข้าไป

ที่มา: Ballet Dance [2]

การเคลื่อนไหวในการเต้นบัลเลต์

การเต้นรำ บัลเลต์

ในการเต้นบัลเลต์นั้น สำหรับผู้ที่เริ่มต้นใหม่ จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ท่าเต้น 3 ท่าขั้นแรก โดยการให้ผู้เต้นเรียนรู้การออกเสียงคำศัพท์ เรียนรู้คำจำกัดความ และทำตามท่าทางที่ได้อธิบายไว้เบื้องต้น

  • plie (พลี-เอย์)
    คือการงอตัว โดยให้เท้าทั้งสองข้างของผู้เต้น เหยียบกับพื้นตลอดเวลา งอเข่า แล้วเหยียดเข่าออกเหนือปลายเท้า
  • releve (เรเลฟ)
    เป็นท่าลุกขึ้น ที่คุณสามารถทำได้โดยการ ยืนด้วยท้าข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน โดยยืนชิดเท้า เหยียดเข่าให้ตรง จากนั้นยกส้นเท้าให้สูงพอที่คุณจะสามารถถ่ายเทน้ำหนักตัวทั้งหมดไปอยู่ที่บริเวณฝ่าเท้า จากนั้นให้ทำซ้ำกับเท้าข้างเดียว
  • saute (โซเต)
    การกระโดด สามารถทำได้โดยวิธีการ สองเท้าต่อสองเท้า นั่นคือ ให้คุณกระโดดออกจากพื้น โดยการกระโดด 2 เท้าพร้อมกัน และลงจอดด้วยเท้าทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน โดยเริ่มต้นจากการ การพลี โดยใช้เท้าของคุณ ในลักษณะเช่นเดียวกับการทำเรเลฟ แล้วให้ดันตัวขึ้นไปในอากาศ ซึ่งในขณะที่ดันตัว อย่าลืมเหยียดขาให้ตรง แล้วลงจอดในท่าพลี เพื่อรองเข่า

ที่มา: Basic Ballet Positions [3]

เทคนิคในการเต้นบัลเลต์

  • วิธีการวากาโนวา
    เทคนิคการเต้นบัลเลต์นี้ ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 20 โดยAgrippina Vaganova นักเต้นชาวรัสเซีย ซึ่งเป็นเทคนิคที่เน้นความยืดหยุ่น ความแข็งแรง และความอดทนเป็นหลัก อีกทั้งยังเป็นเทคนิคที่ให้ความสำคัญของแขนและขา แบบเท่าเทียมกันในการแสดง
  • เทคนิคฝรั่งเศส
    เป็นเทคนิคที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดย Beauchamp ผู้ริเริ่มคิดค้นท่าเท้าพื้นฐาน 5 ท่า ที่บัลเลต์ทุกประเภทจำเป็นต้องใช้ โดยเน้นไปที่ความลื่นไหล ลายเส้นที่สง่างาม ความแม่นยำ และการเคลื่อนไหวเท้าที่รวดเร็ว
  • วิธีการ Cecchetti
    ถือกำเนิดขึ้นในต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นวิธีการของอิตาลีที่ตั้งชื่อขึ้นตาม Enrico Cecchetti โดยท่าเต้นจะเน้นทุกสัดส่วนของร่างกาย ให้มีความเคลื่อนไหวร่วมกัน ผ่านลายเส้นที่สวยงาม โดยจะเน้นที่การยกสูง การทรงตัว และการเคลื่อนไหวของแขน
  • วิธีการ Royal Academy of Dance (RAD)
    เป็นการนำวิธีการของเดนมาร์ก รัสเซีย ฝรั่งเศส และอิตาลี มาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อส่งเสริมบัลเลต์คลาสสิก ที่เน้นจังหวะช้าๆ ความละเอียดและความสมบูรณ์ของท่วงท่า รวมถึงการเคลื่อนไหวแบบอิสระ และการเต้นตามตัวละคร
  • วิธีการ Balanchine
    เป็นเทคนิคที่คิดค้นขึ้นโดย George Balanchine ที่ได้รับการพัฒนามาจากนีโอคลาสสิก ซึ่งจะเน้นไปที่การเคลื่อนไหว มากกว่าโครงเรื่อง โดยจะสังเกตได้ว่า นักเต้นมักจะงอมือ อยู่ในท่าทางที่ไม่สมดุล
  • วิธีการ Bournonville
    เป็นเทคนิคการฝึกบัลเลต์ของเดนมาร์ก ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาโดย August Bournonville มักจะเน้นไปที่การหมุนตัว จากท่าที่ต่ำ และบอลลูนที่สวยงาม

หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Types of Ballet ได้ที่ masterclass

เครื่องแต่งกายในการเต้นบัลเลต์

  • ชุดบัลเลต์
    โดยปกติชุดบัลเลต์ที่นักเต้นนิยมใส่ จะมีลักษณะเป็นเสื้อรัดรูป ซึ่งมีทั้งแขนสั้น แขนยาว สายเดี่ยว ที่ถูกออกแบบมาเพื่อความเหมาะสม ในการเคลื่อนไหว เพื่อเน้นให้เห็นลวดลายการเต้นบัลเลต์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ต้องใช้ผ้าที่สามารถระบายอากาศได้ดี
  • รองเท้าบัลเลต์
    การเลือกรองเท้าบัลเลต์ ควรเลือกขนาดที่พอดีกับเท้า เพื่อให้เราสามารถเคลื่อนไหว และทำท่าทางต่างๆได้อย่างสะดวก และป้องกันไม่ให้เท้าเราเกิดอาการบาดเจ็บ
  • ถุงน่อง
    ถุงน่องถือเป็นเครื่องแต่งกายที่ต้องใช้ควบคู่กับชุดบัลเลต์เสมอ เพราะจะช่วยให้ผู้สวมใส่ สามารถทำการเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระ ทั้งนี้ผู้เรียน ควรเลือกสีของถุงน่อง ให้เข้ากับสถานการณ์แและบทบาทที่ได้รับ
  • สายรัดเอว
    เป็นเครื่องแต่งกายที่นิยมใช้ในผู้ที่เริ่มเรียนบัลเลต์ใหม่ เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนมองเห็นสรีระของตัวเอง เพื่อจัดระเบียบร่างกายได้อย่างเหมาะสม
  • ถุงเท้า
    มักนิยมใช้ในเด็กแทนการใส่ถุงน่อง เพราะจะช่วยให้ผู้ฝึกสอน สามารถมองเห็นการทำงานของกล้ามเนื้อได้ชัดเจน
  • กระโปรง
    กระโปรงบัลเลต์ถือเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญ โดยจะเน้นการใส่กระโปรงเพื่อเพิ่มความสวยงาม และเพิ่มความสมบูรณ์แบบของการแสดงให้มีความประทับใจมากยิ่งขึ้น

กล่าวโดยสรุป การเต้นรำ บัลเลต์

กล่าวโดยสรุป การเต้นรำ บัลเลต์ เป็นกิจกรรมการระบำตามจังหวะ และท่วงทำนองดนตรี เพื่อเป็นการสื่อสารถือเรื่องราว ที่มีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งในการเต้นบัลเลต์ก็จะมีเทคนิค และกระบวนท่าทางพื้นฐานต่างๆที่ควรรู้ ดังนั้นก่อนที่คุณจะตัดสินใจ ควรศึกษาหาข้อมูลโดยรวมก่อน เพื่อง่ายต่อการฝึกฝน

บัลเลต์มี 3 ประเภทอะไรบ้าง?

3 ประเภทหลักของบัลเลต์ ได้แก่ บัลเลต์คลาสสิก บัลเลต์นีโอคลาสสิก และบัลเลต์ร่วมสมัย โดยแต่ละประเภทก็จะมีลักษณะ เทคนิค และการแสดงออกทางศิลปะที่แตกต่างกันไป ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

บัลเลต์เป็นการเต้นรำแบบคลาสสิกหรือไม่?

ใช่ บัลเลต์ถือเป็นรูปแบบการเต้นรำแบบคลาสสิก ที่มีลักษณะเฉพาะ การเคลื่อนไหวที่แม่นยำ และมีประวัติ ประเพณีที่ยาวนาน

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง